มาถึงตอนสุดท้ายของซีรีย์นี้แล้วนะคะ ถัดจากตอนนี้ เราจะรีวิวหนังสือ รอชมนะคะ
ในการสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ไม่มีคำว่าเร็วเกินไป มีแต่คำว่า "ช้าเกินไป"
คนที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบกว่าและง่ายกว่า เพราะหากคุณเริ่มช้า ในที่นี้คือเริ่มหลัง 3 ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่เด็กรู้เรื่องแล้ว พูดภาษาแม่ได้คล่องแล้ว รับภาษาไทยเข้าไปมากแล้ว การจะรับภาษาใหม่เข้าไปเพิ่มนั้นยังสามารถเพิ่มได้ แต่ช่วงแรกๆจะต่อต้านสักหน่อย ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้เค้าจะไปต่อได้
เราสังเกตเด็กสองภาษาหลายคนรวมถึงลูกเราเอง การที่เด็กๆเหล่านี้พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง อาจไม่ใช่เพราะฉลาดกว่าคนอื่น แต่เป็นเพราะชั่วโมงบินที่สูง เพราะภาษาเป็นทักษะ ที่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนเพื่อให้ให้เกิดความชำนาญ ยิ่งใช้มาก ยิ่งพูดมาก ฟังมาก ก็ยิ่งเก่งมาก
เราเคยแนะนำว่า ให้พูดภาษาอังกฤษกับลูกอย่างน้อยวันละ 30 นาที บางคนอาจมองว่าน้อยจัง มันก็อาจใช่ ถ้าคุณไม่พูดทุกวัน แต่เราพูดทุกวันค่ะ ลองคิดดูสิ ถ้าเราชวนลูกคุยภาษาอังกฤษวันละ 30 นาทีเป๊ะๆ เท่ากับว่า 2 วันเราคุยได้ 1 ชั่วโมง สองปีผ่านไปก็เท่ากับว่าลูกเราได้ใช้งานภาษาอังกฤษไปแล้ว 365 ชั่วโมง
คอร์สเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้ใหญ่มักจะตั้งเวลาเรียนต่อคอร์สไว้ที่ 36 ชั่วโมง นี่เท่ากับลูกเราไปนั่งเรียนได้ถึง 10 คอร์สเลยนะ ไม่น้อยนะคะ นี่ยังไม่คิดรวมกับที่มีบางวันเราคุยกันเกิน 30 นาทีนะคะ แล้วเด็กจะไม่เก่งได้อย่างไร แล้วถ้าทำแบบนี้ซัก 5 ปีล่ะ?
ทั้งหมดนี้เรากำลังจะบอกว่า ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องภาษา แต่ทักษะด้านอื่นก็เช่นกัน ยิ่งเราฝึกฝนมากก็ยิ่งเกิดความชำนาญ ปัญหาของคนส่วนใหญ่มีไม่กี่ข้อที่ทำให้ไปไม่ถึงจุดหมาย
1. ล้มเลิกกลางคันเมื่อเห็นว่าลูกไม่ยอมพูดในช่วงแรก
2. ความสม่ำเสมอไม่พอ ทำๆหยุดๆ บางทีลูกก็ลังเลนะคะว่าแม่จะเอายังไงแน่
3. ความไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่าเราไม่เก่ง จะสอนได้งัย
สองข้อแรกแก้ได้ด้วยความสม่ำเสมอ ลงมือทำใหม่ ตั้งเป้าหมาย ไม่ล้มเลิกง่ายๆ ไม่มีอะไรยากเกินไปค่ะ เราทุกคนทำได้ ตัวเราเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากมาย แต่เราตั้งเป้าหมายไว้แล้ว เราจะต้องทำให้ได้ค่ะ ทุกครั้งที่ได้ยินลูกพูดประโยคใหม่ๆได้ มันตื้นตันมากค่ะ มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าเรามาถูกทางแล้ว
ส่วนข้อที่ 3 อันนี้ต้องบอกเลยว่า มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่มั่นใจในตัวเองในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราไม่ชำนาญ แต่เราจะปล่อยมันไว้แบบนั้นหรือคะ เรารู้แล้วใช่มั้ยคะว่าเราไม่เก่ง แล้วเราจะทำอย่างไรระหว่าง
1. ไม่สอน เพราะไม่เก่ง
2. ไปหาความรู้เพิ่มเพื่อให้สอนได้
เราเลือกข้อ 2 ค่ะ เราบอกลูกเสมอว่าแม่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากนะ บางแม่ก็ไม่รู้นะ ถ้าคำไหนที่หนูถามแล้วแม่ไม่รู้ เรามาเปิด dict กันนะ หรือถ้าถามเป็นรูปประโยคที่เราไม่รู้ เราก็บอกว่าแม่ขอไปหาก่อนนะ ซึ่งลูกเราโอเคค่ะ เค้ารอให้เราหาแล้วมาบอกเค้าทีหลังค่ะ บ้านเราทำแบบนี้ ลูกเข้าใจ เราเรียนรู้ไปด้วยกันได้
มาถึงตรงนี้แล้วพอได้ไอเดียมั้ยคะ หวังว่าบทความของเราจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนนะคะ ที่เราเขียนมาทั้งหมดทุกตอน หวังเพียงแนะนำและให้กำลังใจพ่อแม่ทุกคนที่อยากฝึกลูก 2 ภาษา เพราะเราก็หาข้อมูลมามาก และข้อมูลก็กระจัดกระจายมาก เราจึงอยากเขียนรวบรวมไว้ มีอะไรก็พิมพ์ถามในเม้นต์ไว้ได้นะคะ ถ้า inbox เราไม่ค่อยได้ตอบเน้อออ
#ก็อบปี้บทความไปกรุณาให้เครดิต
#เพจสวัสดีชาวลูก
อ่านเนื้อหาบทความตอนที่ 1 ได้ที่ http://bit.ly/2Wt129W
อ่านเนื้อหาบทความตอนที่ 2 ได้ที่ http://bit.ly/2w7O7yC
อ่านเนื้อหาบทความตอนที่ 3 ได้ที่ http://bit.ly/2Xep1d6
อ่านเนื้อหาบทความตอนที่ 4 ได้ที่ http://bit.ly/2XLJdDm
0 ความคิดเห็น