ทำ Homeschool ต้องรวย จริงมั้ย?

เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี ของการทำบ้านเรียนหรือโฮมสคูล (Homeschool) วันนี้เราจึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ รวมทั้งตอบคำถามที่มีคนถามบ่อยมากนอกเหนือจากเรื่องการไม่มีสังคมของเด็กโฮมคูล (ในเรื่องนี้เราจะเขียนในบทถัดไปนะคะ) คำถามยอดฮิตอย่างหนึ่งเลยก็คือ เรื่องฐานะทางครอบครัวของผู้จัดการศึกษา คือต้องรวย ต้องมีฐานะ ต้องเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต ใช่หรือไม่?






คำตอบคือ มีทุกฐานะ มีรวย ปานกลาง มีบ้างไม่มีบ้าง เหมือนกันครอบครัวที่ส่งลูกไปโรงเรียนนั่นแหละค่ะ เมื่อเราถามกลับว่า อะไรที่ทำให้คิดว่าพ่อแม่ที่ทำโฮมสคูลให้ลูกต้องรวย เรามักได้ยินคำตอบที่คล้ายกัน คือคนภาย (คนที่ไม่ได้ทำ homeschool) มองว่า ต้องมีผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งไม่ทำงาน อยู่บ้านดูแลลูกเต็มเวลา สอนลูกเต็มเวลา เพื่อประสิทธิผลทางการศึกษา เพราะฉะนั้นรายได้ก็ต้องมีกินระดับนึงถึงจะไม่ทำงานได้


จริงค่ะที่การทำโฮมสคูลนั้นต้องมีอย่างน้อย 1 คน ที่มีเวลาเพียงพอที่จะจัดการการศึกษาของเด็กให้ได้เต็มประสิทธิภาพ แต่การที่บางท่านไม่ได้ทำงานก็ไม่ได้แปลว่ารวยเสมอไป บางครอบครัวมีกิจการ มีฐานะดี อันนี้ไม่เถียง แต่บางครอบครัวก็ฐานะกลางๆค่ะ แต่ท่านเหล่านี้ยอมแลก ยอมที่จะมีรายได้ครอบครัวที่น้อยลงเมื่อหัวหน้าครอบครัวต้องทำงานคนเดียว ยอมที่จะสละตำแหน่งหน้าที่การงานอันเจริญก้าวหน้า ยอมละทิ้งความฝันเก่าเพื่อมาทำความฝันใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือการจูงมือลูกไปให้ถึงฝั่งฝันด้วยมือของตัวเองนั่นเองค่ะ


แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปเสียทุกครอบครัวนะคะ บางครอบครัวยังคงทำงานอยู่ทั้งพ่อและแม่ ในขณะที่ทำโฮมสคูลไปด้วย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบงาน จากเดิมอาจจะเคยทำงานออฟฟิศ ก็เปลี่ยนมาเป็น freelance เป็นต้น หรือแม้กระทั่งบางครอบครัวที่พ่อแม่ทำ homeschool ให้ลูกโดยที่ยังทำงานออฟฟิศอยู่ทั้งคู่ก็มีค่ะ (แต่น้อยมากนะคะ และเป็นกรณีที่เด็กโตพอที่จะรับผิดชอบตัวเองและงานที่ได้รับมอบหมายได้แล้ว เด็กอาจะอยู่กับปู่ย่าตายาย เพื่อคอยดูแลเรื่องทั่วไป ไม่ได้อยู่ลำพัง ส่วนเรื่องการเรียนอาจจะรอพ่อแม่กลับมาแล้วค่อยถามหากมีข้อสงสัย)


เห็นมั้ยคะว่าแต่ละครอบครัวจัดการศึกษาและจัดการชีวิตให้เข้ากับบริบทของตนเอง หลายๆท่านทำได้โดยที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร สิ่งสำคัญที่สุดในมุมมองของเรา (ย้ำว่าเป็นมุมมองส่วนตัวของเรานะคะ) คือต้องมี "ความกล้า" กล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง, กล้าที่ะออกมาจาก comfort zone, กล้าที่จะอดทนกับเสียงคัดค้านและคำถามต่างๆมากมายที่ถาโถมเข้ามา "เชื่อมั่นในตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวลูก" เพื่อที่เราจะได้กุมมือลูกของเราให้แน่นและพาเค้าไปสู่จุดหมายปลายทางที่ฝันไว้ด้วยตัวคุณเอง


จริงๆมันไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าได้ลองทำจริงๆแล้วจะพบว่ามันไม่ยากเลย เราพบว่าการที่ต้องขุดลูกออกมาจากที่นอนในเวลาที่เช้ามาก การที่ต้องขับรถไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนให้ทันเวลาในทุกๆวัน การที่ต้องรีดผ้าชุดนักเรียน ชุดลูกเสือหรือเครื่องแบบอื่นๆ การที่ต้องจำว่าวันไหนใส่ชุดอะไร ต่างๆเหล่านี้ล้วนยากกว่ามาก เด็กโฮมสคูลไม่มีเครื่องแบบ จะใส่อะไรก็ได้ ไม่เสียค่าน้ำมันไปรับ-ส่ง พวกเราเรียนที่ไหนก็ได้ อาทิตย์นี้เราก็ไม่จำเป็นต้องตรงกับคนอื่นก็ได้ เห็นมะ! ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ


ปล.ในปีการศึกษา 61-62 เราส่งลูกเข้าโรงเรียน โดยเราจ่ายค่าการศึกษาไปรวมทั้งสิ้นประมาณ 300,000 บาท (สำหรับ 2 ปีการศึกษา) ไม่รวมค่าเรียนดนตรีในสถาบันข้างนอก แต่พอปีการศึกษา 63 ทำเปลี่ยนมาทำ homeschool อนุบาล เราใช้เงินในการจัดการศึกษาให้ลูกเพียงไม่ถึง 20,000 บาท ตลอดปีการศึกษา ไม่รวมค่าเรียนดนตรีในสถาบันข้างนอก และยังได้เงินอุดหนุนการศึกษาจากรัฐอีกต่างหาก เมื่อหักลบแล้วเราจ่ายจริงไปไม่ถึง 10,000 บาทเลยค่ะ และเราก็ไม่ต้องจ่ายค่าเครื่องแบบและค่าเดินทางด้วย เดี๋ยวพอขึ้นชั้นประถมเราอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50,000 บาท/ปีการศึกษา เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องซื้อหลักสูตรจากต่างประเทศมาสอน แต่ยังไงก็ยังน้อยกว่าการไปโรงเรียนอยู่ดีค่ะ


พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น