ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษแบบ Online หรือ Onsite แบบไหนดี?

สวัสดีค่ะ เนื่องจากตอนนี้น้องๆใกล้จะปิดเทอมหรือบางที่ได้ปิดเทอมไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายท่านก็กำลังมองหากิจกรรมให้ลูกทำกันอยู่ หนึ่งในกิจกรรมที่มีคนสนใจมากที่สุดก็คือการให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษค่ะ แต่ปัญหาคือบางทีผู้ปกครองก็คิดไม่ตกว่าจะให้ลูกไปนั่งเรียนที่สถาบัน หรือว่าจะเรียนออนไลน์ที่บ้าน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนออนไลน์ในปัจจุบันนั้นกลายเป็น New Normal ไปแล้ว แล้วเราควรจะเลือกแบบไหนดีล่ะ?



สำหรับผู้ปกครองหลายๆท่านที่สอบถามกันมาตั้งแต่เมื่อวานว่าเราให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบตัวต่อตัวที่ไหน เราเคยรีวิวไว้แล้วเข้าไปชมก่อนได้นะคะ และสามารถกดรับสิทธิ์ทดลองเรียนได้ฟรีค่ะ ดูรีวิวได้ที่นี่ค่ะ https://fb.watch/bAt0LMfCLU/


ก่อนอื่นเลย เรื่องนี้ต้องพิจารณาหลายอย่าง ในบทความนี้เราจะไม่เอาเรื่องของ COVID-19 เข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณานะคะ เนื่องจากว่าหากว่าเราติดเรื่องโรคระบาดคำตอบจะไปทางเรียออนไลน์แน่ๆอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะพูดถึบปัจจัยอื่นที่เราต้องพิจารณาแน่ๆแม้ไม่มีโรคระบาดค่ะ


บทความนี้เขียนจากประสบการณ์ของตัวเราเอง ทั้งในฐานะที่เราก็เป็นคนที่เคยตระเวนเรียนภาษาอังกฤษมาหลายที่อย่างช่ำชอง เรียนทั้งสถาบันเล็กและใหญ่ แพงและถูก ออนไลน์และออฟไลน์ คอร์สระดับต้นจนถึงระดับสูง และเรายังเป็นครูสอน(พิเศษ) หรือติวเตอร์วิชาภาษาอังกฤษด้วย สอนทั้งแบบ online และ onsite และจากความที่ตัวเองเป็นแม่ที่ดูแลเรื่องการเรียนของลูก ยังได้พูดคุยกับผู้ปกครองจำนวนมากทั้งที่เป็นเพื่อนและเป็นพ่อแม่ของนักเรียนที่เราสอน เรารวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ



มาเริ่มกันเลย! เรามีปัจจัยอะไรที่จะต้องพิจารณากันบ้าง


1. อายุของเด็ก อันนี้เป็นสิ่งแรกที่จะต้องนำมาพิจารณาค่ะ เพราะการเรียนออนไลน์แบบโต้ตอบกับครูที่อยู่ห่างไกลกันนั้นไม่เหมาะกับเด็กเล็ก น้องๆที่จะเรียนออนไลน์ควรมีอายุ 6 ปีขึ้นไป แต่ไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆนะคะ เด็กบางคนก็พร้อมเร็วกว่านั้น อย่างลูกเราเองก็เริ่มที่ 4 ขวบกว่าๆค่ะ เค้าสามารถโฟกัสเนื้อหาการเรียนออนไลน์ได้นาน 30 นาที ถ้านานกว่านั้นคือกระเจิงค่ะ 5555 แต่ตอนนี้ 6 ขวบแล้วสามารถโฟกัสได้นานถึง 45 นาทีค่ะ ดังนั้นแล้วให้ดูที่ตัวเด็กเป็นสำคัญ หากยังไม่พร้อมก็ต้องเรียนออนไซต์ไปก่อนค่ะ


2. เรียนกลุ่มหรือเรียนเดี่ยว ทั้งสองแบบต่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันะทั้งคู่


เรียนแบบกลุ่ม - การเรียนแบบ onsite แลดูจะมีภาษีที่ดีกว่าค่ะ เพราะการเรียนกลุ่มเรามักถูกจัดให้มีคู่สนทนาที่หลากหลาย เราอาจไม่ได้โต้ตอบกับครูเพียงอย่างเดียวแต่เรายังอาจได้โต้ตอบกับเพื่อนร่วมชั้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก การเรียนภาษานั้นนอกจากที่เราจะรับฟังในสิ่งที่ครูป้อนให้แล้ว การได้เรียนรู้จากความผิดพลาดก็สำคัญมาก ความผิดพลาดอาจะเกิดจากเราหรือเพื่อนร่วมชั้นก็ได้ แต่นักเรียนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะจดจำความผิดพลาดนั้นได้แบบเป็นภาพความทรงจำ คุณเคยสังเกตมั้ยว่าคุณจำคำศัพท์คำนั้นหรือประโยคนั้นได้แม่นจากอะไร หลายๆครั้งมันไม่ได้เกิดจากการท่องหรืออ่าน เช่น เราจำคำศัพท์คำนึงได้จากการที่มีเพื่อนร่วมชั้นพูดผิดแล้วครูแก้ให้ เราจำเสียงของเพื่อนในวันนั้นได้ เราจำหน้าครูได้ หรือบางทีเราจำได้แม้กระทั่งว่าใครนั่งเรียนกับเราในวันนั้นบ้าง คือเราไม่ได้จำแค่คำหรือประโยค แต่เราจำเหตุการณ์แวดล้อมได้ด้วย และนั่นเป็นเหตุผลที่การเรียนกลุ่มแบบเห็นตัวกัน เจอหน้ากัน สัมผัสกัน มันได้ความทรงจำที่มากกว่า ความทรงจำและเรื่องราวที่เราพบเจอเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราจำได้ค่ะ


แต่ถ้าหากเราเรียนออนไลน์ บางทีเพื่อนก็จะโดนปิดไมค์ ครูอาจจะเปิดให้เฉพาะคนที่ครูจะให้ตอบเพื่อป้องกันเสียงรบกวน การที่จะเปิดไมค์ทุกคนให้ช่วยกันหรือแย่งกันตอบบางทีมันจะพังถ้าคนเยอะ บางสถาบันไม่ให้เด็กๆเห็นหน้ากัน จะเห็นเฉพาะครูกับตัวเองเท่านั้นไม่เห็นเพื่อน ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวค่ะ การฝึกสนทนากันระหว่างผู้เรียนทำได้ยากกว่าการเรียนแบบเจอตัวกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะคะ เพราะหลายๆสถาบันเค้าก็พัฒนา platform ของตัวเองออกมาได้ดีและแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ดังนั้นก็ต้องเลือกสถาบันให้ดีด้วยเช่น ถ้าจะเรียนออนไลน์กลุ่มแนะนำให้เลือกแบบกลุ่มเล็กๆ คนน้อยจะได้ผลที่ดีกว่าค่ะ



เรียนเดี่ยว - อันนี้ง่ายเลยเพราะมีแต่ฉันและครู ถ้าในแง่ของเนื้อหาและวิธีการสอน ปัจจุบันนี้บอกเลยว่าจะ online หรือ onsite สามารถทำได้แทบไม่แตกต่างกันแล้วค่ะ เพราะออนไลน์ก็เขียนกระดานได้ คุยโต้ตอบได้ มองเห็นรูปปากของครูชัดเจนเวลาออกเสียง แชร์ไฟล์เสียงได้ เปิดคลิป vdo ได้ คุณภาพของเสียงและอินเตอร์เนตความเร็วสูงนั้นไม่สะดุดแล้ว ต้องบอกว่าสะดวกแบบไหนเลือกแบบนั้นเลยค่ะ เทคโนโลยีไปไกลมากแล้ว บางคนมองว่าการเรียน onsite มีค่าเดินทาง ทำให้ cost โดยรวมสูงกว่า รวมถึงมีค่าเสียเวลาในการเดินทางอีกด้วย ยิ่งถ้าอยู่ กทม ด้วยแล้ว การเดินทางนั้นใช้เวลามาก แต่บางคนก็เรียนกับครูใกล้บ้านแบบเดินถึงกันได้ หรือเรียนกับติวเตอร์หลังโรงเรียน เดินข้ามถนนจากโรงเรียนไป หรือบางคนเรียนที่โรงเรียนเลยตอนหลังเลิกเรียนแบบ after school หรือบางคนมีครูมาสอนที่บ้าน ถ้าแบบนี้เรียนแบบเจอกันก็น่าจะดีกว่าค่ะ อย่างที่บอกว่ามัมีประสบการณ์ร่วมมากกว่า แต่ถ้าบ้านไกลก็เรียนออนไลน์ดีกว่าค่ะ



3. งบประมาณ ปกติแล้วการเรียนออนไลน์จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ถ้าเทียบกับการเรียนวิชาเดียวกันในสถาบันเดียวกันที่มีทั้งสองออพชั่นให้เลือก ปัจจุบันผู้ปกครองนิยมให้เด็กๆเรียนออนไลน์มากขึ้นเพราะถูกกว่าและไม่ต้องมีค่าเดินทาง ไม่เสียเวลาเดินทาง รวมถึงเด็กๆเริ่มชินกับรูปแบบการเรียนออนไลน์แล้ว หากเรามีงบประมาณที่จำกัด การเรียนออนไลน์เป็นทางเลือกที่ดีมากค่ะ


**ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คือเราให้ลูกเรียนเดี่ยวแบบ online และให้เรียนกลุ่มแบบ onsite ค่ะ และพูดคุยภาษาอังกฤษกับลูกที่บ้านด้วยเป็นประจำ


กลับมาต่อ สมมติว่าเลือกได้แล้วว่าจะเรียนแบบไหน online หรือ onsite สิ่งที่จะพิจารณาในลำดับต่อมาคือเราจะเลือกเรียนที่ไหน เรียนกับสถาบันมีชื่อหรือเรียนกับครูผู้สอนอิสระ ตรงนี้มีรายละเอียดบางอย่างที่เราต้องคำนึงถึง


1. มาตรฐาน : การเรียนกับสถาบันที่มีชื่อเสียง เราจะมั่นใจได้ในเรื่องของมาตรฐานการศึกษา มาตรฐานหลักสูตร รวมถึงมาตรฐานในการคัดเลือกครูผู้สอน ผู้ปกครองจะได้ไม่ต้องปวดหัว พูดง่ายๆคือไว้ใจได้ ครูผู้สอนอิสระก็ใช่ว่าจะไม่ดี เพราะหลายคนก็เคยทำงานให้กับสถาบันที่มีชื่อเสียงและได้มาตรฐานมาก่อน เพียงแต่ผู้ปกครองก็ต้องเป็นผู้คัดกรองเองทั้งผู้สอนและเนื้อหาการสอนค่ะ



2. หลักสูตรที่ใช้สอน : การเรียนกับสถาบันส่วนมากมักเป็นไปตามหลักสูตรที่ทางสถาบันเลือกใช้ อาจจะพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาเองหรือซื้อลิขสิทธิ์ของหลักสูตรมาใช้ก็ตาม หากต้องการเรียนนอกหลักสูตรก็อาจจะต้องเลือกเรียนเดี่ยวหรือจัดกลุ่มมาเองเท่านั้น หรือบางสถาบันก็ไม่มีออพชั่นให้เลือกคือต้องเรียนตามหลักสูตรเท่านั้น ในขณะที่ครูผู้สอนอิสระมักจะมีความยืดหยุ่นในเรื่องเนื้อหาการสอนมากกว่า เช่น เราอยากเรียน free talk อย่างเดียว หรืออยากจะเน้นปัญหาหรือจุดอ่อนขอเราในบางเรื่องก็สามารถแจ้งครูได้เลย ตัวเราเองเคยเจอปัญหาเหมือนกันว่าไปเรียนในสถาบันใหญ่ๆแล้วครูไม่พูดเรื่องที่นอกเหนือจากหลักสูตรเลย เราอยากคุยเรื่องอื่นบ้างที่เจอในชีวิตประจำวัน เราก็ไปเรียน free talk เสริมเอาจากครูอิสระ หรือสถาบันที่มีให้เลือกแบบอิสระ


3. เลเวล และทักษะที่เรามี ถึงแม่ว่าก่อนที่จะเริ่มเรียนไม่ว่าจะเรียนกับใครก็ตามจะมีการทดสอบเลเวลเพื่อจัดเนื้อหาที่เหมาสม แต่การแบ่งเลเวลคำนวณจาก 4 ทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน ซึ่งปกติแล้วเราจะมีทักษะทั้ง 4 ไม่เท่ากัน และก็มีบางคนที่ทักษะแต่ละอันห่างชั้นกันมาก เช่น ฟังพูดเก่งมาก แต่อ่านไม่คล่อง และเขียนไม่ได้เลย เป็นต้น พอประเมินเลเวลมามันจะได้เลเวลที่ค่อนข้างสูงค่ะ บางทีเรียนตามหลัดสูตรที่ตรงเลเวลแล้วแต่มันก็ไม่ทันค่ะ เพราะทักษะบางอย่างตามไม่ทัน ตรงนี้ถ้าเรียนเดี่ยวจะง่าย เพราะครูจะช่วยเราได้เลยไม่ต้องพะวงเพื่อน หรือถ้าเรียนกับครูอิสระก็ขอเน้นเฉพาะจุดที่มีปัญหาให้เยอะกว่าจุดอื่นได้เลย


จบแล้วค่ะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านนะคะ


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น