ศิลปะมีความหมายกว้างมากกว่าการวาดภาพระบายสี แต่คือประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการแสดงออกผ่านการสัมผัส การฟัง การมองเห็น การได้กลิ่น หรือแม้แต่รสชาติ ลองนึกดูว่าเด็กคนหนึ่งได้รับการเปิดโอกาสให้สร้างสรรค์อย่างอิสระ พวกเขาจะจับดินน้ำมันมาปั้นเป็นอะไรก็ได้ที่อยากปั้น หยิบพู่กันจุ่มสีแล้ววาดบนกระดาษ ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ที่ “ฉันทำได้” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างตัวตนและความมั่นใจในตนเอง
ศิลปะเหมือนเป็นเงาสะท้อนจินตนาการของเด็ก
ที่ช่วยให้พวกเขาได้ทดลองความคิด สนองความอยากรู้อยากเห็น
และขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เชื่อมโยงสู่ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
แม้ว่าการพัฒนาเด็กในมิติของ
“คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน”
จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและศักยภาพในอนาคต
แต่การใช้ศิลปะก็สามารถบูรณาการทักษะเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันได้อย่างน่าประหลาดใจ
- คณิตศาสตร์: เด็กเริ่มเรียนรู้เรื่องรูปทรง
พื้นที่ ระยะห่าง จากการวาด ลากเส้น วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม
หรือเมื่อพวกเขาได้ปั้นแป้งโดว์เป็นลูกกลม ๆ หรือก้อนสี่เหลี่ยม
- วิทยาศาสตร์: การผสมสี แสงเงา
เสียงจากเครื่องดนตรี การสังเกตว่าทำไมสีบางสีผสมกันแล้วได้สีใหม่
กระบวนการเชิงทดลองเหล่านี้ล้วนกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
ส่งเสริมการตั้งสมมติฐานและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- การอ่าน: เมื่อเด็กได้ฟังนิทาน
หรือได้ลองวาดรูปตามเรื่องราว
พวกเขาฝึกการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาษากับภาพ
ได้ลองคิดต่อยอดเพื่อขยับจินตนาการออกมาเป็นภาพเล่าเรื่อง
ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ส่งเสริมการอ่านและการเขียนอย่างแยบยล
เติมเต็มความรู้สึก
สร้างรากฐานสุขภาพใจ
หนึ่งในแง่มุมที่หลายคนอาจมองข้าม
คือ “ศิลปะเชื่อมโยงกับสุขภาพใจของเด็ก” เมื่อเด็ก ๆ ได้สร้างสรรค์งานศิลปะ
พวกเขาได้ปลดปล่อยพลังงานด้านใน ทั้งความตื่นเต้น อยากลอง อยากค้นหา
และได้ระบายความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูด
เพียงแค่ลองให้เด็กจับพู่กันระบายสีฟรี ๆ โดยไม่ตั้งเงื่อนไขหรือตัดสินถูกผิด
คุณจะเห็นสายตาเปล่งประกายแห่งความมั่นใจและอิสระอย่างเต็มที่
เมื่อศิลปะสามารถเป็นช่องทางให้เด็กได้แสดงออกถึง
“อารมณ์” และ “ความคิด” อย่างเปิดเผยโดยไม่ถูกตีกรอบจนเกินไป
พวกเขาจึงได้สร้างเกราะป้องกันเล็ก ๆ ให้กับจิตใจ
เป็นการประคับประคองตัวเองในวันที่อาจเหนื่อยล้าหรือเครียดมากขึ้น
และยังเป็นพื้นที่ที่พวกเขาได้พบกับความสุขของการเป็น ‘ตัวของตัวเอง’
เปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสโลกอย่างเต็มที่
สำหรับพ่อแม่และครู
การให้เด็กใช้เวลาไปกับ “การเล่น” ผ่านกิจกรรมศิลปะ
จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างมหาศาล เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้ลองผิดลองถูก
ขีดเขียน ระบายสี ปั้น ตัดแปะ ร้องเพลง เล่นดนตรี กระโดดโลดเต้นผ่านเสียงเพลง
นิทานและการแสดงบทบาทสมมติ ล้วนมีส่วนช่วยให้เด็กได้เคลื่อนไหวและเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย
จิตใจ และอารมณ์ไปพร้อม ๆ กัน
ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ได้ประโยชน์
พ่อแม่เองก็สามารถสนุกไปพร้อมกัน โดยเริ่มจากกิจกรรมง่าย ๆ เช่น ช่วยกันทำขนม
ทดลองผสมสีอาหาร ไปจนถึงวาดรูปเล่าเรื่องในครอบครัว ศิลปะจึงอาจเป็นสะพานเล็ก ๆ
ที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กให้อบอุ่นแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
อย่าหลงลืม “ศิลปะในใจ” ของเราเอง
สุดท้าย อยากชวนให้ “ผู้ใหญ่”
ทั้งหลายหันกลับมามองเด็กน้อยในใจของตัวเองอีกครั้ง
เราทุกคนล้วนเคยเป็นเด็กที่ชอบสีสัน ร้องเพลง วาดรูป เต้นรำอย่างไม่กลัวใครมอง
“ตัวตนที่มีความสุขและกล้าทดลอง” นั้น เคยอยู่กับเรามาแล้ว
แต่บางทีอาจถูกภาระชีวิตปกคลุมจนเรามองไม่เห็น
หากรู้สึกว่าชีวิตเริ่มไร้สีสัน
ลองหยิบเครื่องดนตรีเก่า ๆ มาลองเล่น หยิบสีน้ำมาละเลงไม่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็ตาม
หรือนั่งดูหนัง ฟังเพลง แล้วปล่อยให้จินตนาการล่องลอยอีกครั้ง
เพราะศิลปะไม่ได้มีไว้แค่พัฒนาเด็ก
แต่ยังฟื้นฟูหัวใจของผู้ใหญ่ให้เบ่งบานได้เหมือนกัน
เพราะสุดท้ายแล้ว ศิลปะคือรากฐานที่หล่อหลอมให้มนุษย์เป็น ‘มนุษย์’ ได้อย่างสมบูรณ์
ทั้งในมิติของความคิดสร้างสรรค์
การพัฒนาทักษะพื้นฐาน และที่สำคัญคือ “หล่อเลี้ยงใจ”
ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้มีความสุขจากภายในอย่างแท้จริง
อย่าปล่อยให้สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่า
“ศิลปะ” ถูกมองข้ามไปนะคะ
เพราะเมื่อเราเปิดโอกาสให้ศิลปะได้มีพื้นที่ในชีวิตของเด็ก และของเราเอง
มันอาจสร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว!
0 ความคิดเห็น