หลายครั้งที่เราสอนลูกอยู่บ้าน เราอาจคิดว่าแค่มีหนังสือเรียนดีๆ หรือมีแบบฝึกหัดเยอะๆก็เพียงพอแล้ว แต่จริงๆแล้วการเรียนรู้ที่มีความหมาย มักเกิดจากสิ่งเล็กๆที่พ่อแม่สร้างให้ลูกได้สัมผัสในชีวิตประจำวัน
Julie Bogart ผู้เขียนหนังสือ The Brave Learner บอกว่า บางครั้งพ่อแม่ก็ต้องกล้าที่จะปล่อยวางความคาดหวังเดิมๆ เช่น ตัวเธอเองเคยเครียดเรื่องที่ลูกสะกดคำผิดบ่อย จนกระทั่งไปอ่านเจอข้อมูลว่าเด็กบางคนอาจใช้เวลาถึงสิบปีกว่าจะเขียนได้เก่ง หลังจากนั้นเธอก็เลยเลิกตำหนิตัวเอง เลิกรีบเร่งลูก แล้วหันกลับมาสร้างบรรยากาศที่บ้านให้ลูกได้เรียนรู้ตามธรรมชาติของเขาแทน
สั่งซื้อหนังสือได้ที่ Shopee >>> คลิกตรงนี้
Lazada >>> คลิกตรงนี้
หนังสือเล่มนี้บอกว่า มี 4 สิ่งง่ายๆที่พ่อแม่ทำได้ทุกวัน เพื่อให้การเรียนรู้ของลูกสนุก ไม่น่าเบื่อ เรามาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง
1. เซอร์ไพรส์ (Surprise)
ลองทำอะไรใหม่ๆ หรือไม่คาดคิด เช่น ซ่อนโจทย์คณิตศาสตร์ไว้ตามมุมต่างๆของบ้าน ให้ลูกไปตามหา หรือจู่ๆก็ประกาศว่าเย็นนี้จะกินอาหารจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อชวนลูกมาค้นหาข้อมูลอาหารญี่ปุ่นว่ามีอะไรบ้าง
2. ความลึกลับ (Mystery)
ปล่อยให้ลูกได้สงสัยบ้าง แทนที่จะรีบบอกคำตอบทันที เช่น ลูกสงสัยว่าแมงมุมอยู่ตรงไหนของบ้าน ก็ชวนให้เขาออกตามหาแล้วสังเกตว่าสัตว์แต่ละชนิดชอบอยู่ที่แบบไหน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น หรือให้เขาลองปลูกเมล็ดพันธุ์พืชสักต้นแล้วเฝ้าดูทุกวัน เพื่อหาคำตอบว่ากี่วันถึงจะงอก
3. ความท้าทาย (Risk)
ให้ลูกได้ลองทำสิ่งที่ไม่ถนัด โดยที่เราก็อยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ เช่น ให้ลูกเล่าเรื่องที่อ่านมาให้เราฟัง โดยที่เขาไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหรือพูดไม่รู้เรื่อง หรือให้เขาลองทำอาหารง่ายๆในครัว แม้จะออกมาไม่อร่อยก็ไม่เป็นไร สำคัญคือให้เขากล้าลองและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้
4. การผจญภัย (Adventure)
พาลูกออกไปข้างนอก ไม่จำเป็นต้องไกล อาจแค่เดินสำรวจรอบบ้าน หรือไปพิพิธภัณฑ์ในเมือง ให้เขาได้เรียนรู้จากโลกจริงๆนอกหนังสือ ได้เห็น ได้สัมผัส และได้ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว
นอกจากนี้ หนังสือยังแนะนำว่าพ่อแม่ควรปลูกฝังทักษะสำคัญ 4 อย่างให้ลูก ได้แก่
1. Curiosity ความอยากรู้อยากเห็น ชวนให้เขาถามคำถามบ่อย ๆ
2. Collaboration ฝึกการทำงานร่วมกับเรา เช่น ทำงานศิลปะด้วยกัน ทำสวน หรือทำขนม
3. Contemplation ฝึกให้เขาคิด ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ โดยถามเขาว่า “วันนี้ชอบเรียนอะไรมากที่สุด ทำไมถึงชอบ”
4. Celebration ฉลองความสำเร็จเล็กๆของลูก เช่น วันนี้ลูกท่องศัพท์ได้เพิ่มขึ้น ก็บอกเขาว่าเก่งขึ้นมาก หรือเล่านิทานจบเรื่องได้ดี ก็บอกเขาว่าเราภูมิใจ
ที่สำคัญอีกอย่างคือ พ่อแม่ควรสังเกตว่าลูกชอบเรียนรู้ผ่านวิธีไหนที่สุด ซึ่งเด็กแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันนะคะ มีแบบไหนบ้างมาดูกันค่ะ
1. Mind (สมอง) เด็กที่ชอบอ่าน วิเคราะห์ และจดบันทึก
2. Body (ร่างกาย) เด็กที่เรียนรู้ได้ผ่านการลงมือทำ ทดลอง และใช้ประสาทสัมผัส
3. Heart (หัวใจ) เด็กที่ต้องมีอารมณ์ร่วม รู้สึกเชื่อมโยงกับบทเรียนผ่านเรื่องราวหรือประสบการณ์จริง
3. Spirit (จิตวิญญาณ) เด็กที่ตั้งคำถามเชิงปรัชญา มองหาความหมายและคุณค่าของสิ่งที่เรียน
เด็กบางคนชอบอ่านชอบคิด (สมอง), บางคนชอบลงมือทำจริงๆ (ร่างกาย), บางคนต้องมีความรู้สึกร่วม (หัวใจ), หรือบางคนต้องรู้ว่าสิ่งที่เรียนมีความหมายต่อชีวิตเขายังไง (จิตวิญญาณ) แล้วเราค่อยๆปรับกิจกรรมต่างๆให้เหมาะกับเขาค่ะ
สุดท้าย หนังสือเล่มนี้บอกเราว่า พ่อแม่ไม่ต้องกลัวที่จะทำอะไรต่างจากคนอื่น ไม่ต้องกลัวบ้านจะรก ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะทำผิดพลาดบ้าง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะให้ลูกได้ คือการให้เขาได้เติบโตขึ้นมาเป็นนักเรียนที่กล้าหาญ กล้าที่จะเรียนรู้ กล้าที่จะลองผิดลองถูก และรู้ว่าพ่อแม่จะคอยอยู่ข้างๆเขาเสมอ
สั่งซื้อหนังสือได้ที่ Shopee >>> คลิกตรงนี้
Lazada >>> คลิกตรงนี้
0 ความคิดเห็น